วันพุธที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2555

โมสาร์ทกับยุคปัจจุบัน



 Mozart Effect คือ ผลงานวิจัยจากนักวิจัยจำนวนมากที่ยืนยันผลออกมาอย่างสอดคล้องกันว่า เสียงดนตรี และโดยเฉพาะอย่างยิ่งดนตรีของโมซาร์ท[๒]นั้น สามารถจะก่อให้เกิดพัฒนาการระยะสั้นของประสิทธิภาพทางจิตบางประเภท เมื่อมีการตีพิมพ์ผลงานวิจัยในวารสาร Nature ในปี ค.ศ. ๑๙๙๓ ซึ่งได้กล่าวถึงวิธีการทดลองโดยการวางเงื่อนไขอย่างง่ายๆ ด้วยการแบ่งเด็กออกเป็น ๓ กลุ่ม และให้แต่ละกลุ่มฟังดนตรีที่แตกต่างกัน ๓ รูปแบบ กล่าวคือ กลุ่มที่ ๑) ดนตรีโซนาต้าของโมซาร์ท ,กลุ่มที่๒) ดนตรีประเภทบรรเลงเบาๆผ่อนคลายคล้ายกับที่เปิดตามสปา และ  กลุ่มที่๓) ความเงียบสงบ หลังจากนั้นให้เด็กๆทำแบบทดสอบการใช้เหตุผลในเรื่องมิติของพื้นที่[๓]ผลที่ได้ก็คือ ดนตรีของโมซาร์ทจะส่งผลให้ค่าคะแนนของเด็กๆกลุ่มทดลองคะแนนสูงกว่าเด็กกลุ่มที่ฟังดนตรีแบบอื่นๆราว ๘-๙ แต้ม หลังจากผลการวิจัยนี้เผยแพร่ออกไปทำให้เกิดกระแส การตื่นและเห่อโมซาร์ทกันยกใหญ่ จนยอดขายซีดีพุ่งพรวด และเกิดอัลบั้มรวมเพลงโมซาร์ทประเภทที่บอกใบ้ด้วยชื่ออัลบั้ม ทำนองว่า ฟังแล้วจะฉลาดขึ้นอย่างมากมาย ดนตรีของโมซาร์ทที่เดิมเป็นแนวคลาสสิก อยู่ๆก็กลายเป็น ดนตรีแนวป๊อบ ขึ้นมาโดยผ่านวัฒนธรรมการเสพแบบ Pop Culture อย่างน่าทึ่ง
          หลายคนพอได้ยินเรื่องนี้ โดยเฉพาะคุณแม่ทั้งหลายอาจมีความอยากที่จะรีบวิ่งไปซื้อซีดีของโมซาร์ทมาให้ลูกๆฟังกันเลยทีเดียว เนื่องจากผลงานวิจัยที่ตีพิมพ์ออกมาแล้วผู้คนทั้งหลายต่างพากันตีความ อนุมานกัน แบบง่ายๆ แล้วสรุปว่า ฟังโมซาร์ทแล้วจะฉลาดขึ้น ซึ่งเป็นการสรุปที่อาจเห็นได้ว่าเป็นความวิบัติในการใช้เหตุผลอย่างมาก เป็นการสรุปแบบผิดไปจากกรอบแนวคิดในงานวิจัย ที่เรียกว่า  Misconception นั่นเอง
            ข้อมูลการสืบค้นที่ลึกลงไปค้นพบว่า ที่มาของคำว่า Mozart Effect เป็นคำที่คิดขึ้นโดย อัลเฟรด เอ. โทมาทิส ซึ่งเป็นนักวิจัยชาวฝรั่งเศส โดยเขาได้ใช้ดนตรีของโมซาร์ทเพื่อกระตุ้นการฟัง อันส่งผลให้สามารถเยียวยาอาการผิดปกติบางอย่างทางจิตได้ ซึ่งก็ไม่ได้สอดคล้องอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว กับความเชื่อที่ว่า ฟังดนตรีของโมซาร์ทแล้วจะทำให้ฉลาดขึ้น ในความเป็นจริงแล้วหากใช้วิจารณญาณในการับรู้ข้อเท็จจริง ไม่ใช่ว่าผลของงานวิจัยนั้นไม่ถูกต้อง แต่เราต้องมองดูและฟังข้อเท็จจริงต่างๆด้วยใจ แล้วจะพบเองว่า ผลของงานวิจัยนั้นจะบ่งชี้ในเฉพาะบริบทนั้นๆ ผลการวิจัยไม่ได้บอกว่าฟังเพลงของโมซาร์ทแล้วไอคิวจะสูงขึ้นโดยทั่วไป แต่จะสูงขึ้นเฉพาะเวลาทำแบบทดสอบที่เกี่ยวกับเรื่องมิติของพื้นที่เท่านั้น
            แต่สิ่งที่ผิดมากๆก็กลับกลายเป็นเรื่องที่ถูกต้องได้ถ้าคนส่วนใหญ่เห็นว่ามันถูก และธรรมชาติของสิ่งที่ผิดนั้นมักจะแพร่กระจายได้รวดเร็วเสมอ เมื่อคอลัมนิสต์ของนิวยอร์กไทม์ส เขียนรายงานคอลัมน์และกล่าวถึงผลงานวิจัยนี้ขึ้นมา หลังจากการนำเสนอครั้งนั้นซึ่งมีหลักฐานทำให้น่าเชื่อถือได้ว่า โมซาร์ท สามารถโค่นบัลลังก์ เบโทเฟน[๔] ลงไปได้ ในฐานะ “นักประพันธ์เพลงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก”
            เรื่องยังไม่จบแค่นั้น ต่อมาในปี ค.ศ.๑๙๙๗ มีสิ่งที่มาเสริมความเชื่อมั่นตามกระแสของ Mozart Effect โดยหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ The Mozart Effect  ของ ดอน แคมป์เบลล์ โดยเนื้อหาจะกล่าวถึงเรื่องพลังของดนตรีที่จะเยียวยาร่างกาย ทำให้จิตใจเข้มแข็ง และปลดล็อคจิตวิญญาณอันสร้างสรรค์ เนื้อหาตอนหนึ่งในหนังสือบอกไว้ว่า การฟังดนตรีของโมซาร์ท โดยเฉพาะเปียโนคอนแชร์โต[๕] จะช่วยเพิ่มไอคิวให้คนเราได้ชั่วคราว ก็ยิ่งกลายเป็นเรื่องตื่นตระหนกระลอกใหม่ ผู้ที่ได้ประโยชน์เต็มก็คงเป็น ดอน แคมป์เบลล์ เพราะนอกจากจะได้ทำหนังสือต่อเนื่องออกมาแล้วยังได้ทำซีดีเพลงของโมซาร์ทออกมาอีกด้วย นอกจากนั้นยังมีสิ่งที่มาเสริมกระแสความเชื่อมั่นครั้งนี้เรียกได้ว่าเป็นระดับประเทศ เมื่อ เซลล์ มิลเลอร์ ผู้ว่าการรัฐจอร์เจีย ออกมาประกาศว่าจะใช้งบประมาณปีละกว่าหนึ่งแสนเหรียญ เพื่อซื้อซีดีเพลงคลาสสิกให้ทารกที่เกิดใหม่ในจอร์เจียทุกๆคนเป็นนัยว่าจะทำให้เด็กมีความฉลาดขึ้น โดยเขาพูดในทำนองว่าเด็กจะใช้เหตุผลได้ดีขึ้น ทำให้มีความสามารถด้านคณิตศาสตร์ , วิศวกรรมศาสตร์ หรือแม้กระทั่งความสามารถในการเล่นหมากรุกดีขึ้น